ประวัติ ของ อี อี

อี อี เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1536 ที่เมืองคังนึง จากมณฑลคังวอนแห่งอาณาจักรโชซอน บิดาของเขาเป็นเสนาบดีลำดับสี่ (จวาชันซอน; เกาหลี: 좌찬성) ส่วนมารดาของเขาคือ ชิน ซาอิมดัง (ฮันกึล: 신사임당; ฮันจา: 申師任堂) ศิลปินนักวาดภาพหญิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง (ทั้งอี อี และมารดา ได้รับเกียรติปรากฏอยู่บนธนบัตร 5000 วอนและ 50,000 วอนในปัจจุบันอีกด้วย) เขาเป็นหลานชายของอี กี (ฮันกึล: 이기; ฮันจา: 李芑) ผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีในช่วง ค.ศ. 1549-1551 กล่าวกันว่าเมื่ออายุได้ 7 ขวบ เขาก็ร่ำเรียนคัมภีร์ลัทธิขงจื๊อจนเจนจบ และผ่านการสอบเป็นข้าราชการฝ่ายบุ๋นตั้งแต่อายุเพียง 13 ปีเท่านั้น ต่อมาเมื่ออายุ 16 ปี มารดาของเขาได้ถึงแก่กรรมลง ทำให้เขาเลือกใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษ ณ ภูเขาคึมกังถึง 3 ปีเพื่อศึกษาหลักธรรมของพุทธศาสนา ต่อมาเมื่ออายุ 20 ปีจึงออกจากภูเขาและหันมาศึกษาคำสอนของลัทธิขงจื๊อ[3][4]

อี อี แต่งงานเมื่ออายุ 22 ปี และได้เดินทางไปเข้าพบกับปรมาจารย์อี ฮวัง ที่โทซานในปีต่อมา ภายหลังเขาสอบรับราชการผ่านได้คะแนนสูงสุดจากการเขียนความเรียงเรื่อง "ชอนโดแช็ก" หรือ "ตำราว่าด้วยวิถีแห่งสวรรค์" (ฮันกึล: 천도책; ฮันจา: 天道策) ซึ่งได้รับการยอมรับในฐานะวรรณกรรมชิ้นเอกอย่างกว้างขวาง เนื้อหาของงานเขียนชิ้นนี้นั้นว่าด้วยความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และปรัชญาลัทธิขงจื๊อในด้านการเมือง ทั้งยังแสดงถึงความรู้ความเข้าใจในปรัชญาลัทธิเต๋าของเขาเองอย่างลึกซึ้งอีกด้วย[5] อีกทั้งเขายังได้สอบผ่านได้คะแนนสูงสุดติดต่อกันถึง 9 ครั้ง และเมื่ออายุได้ 26 ปี บิดาของอี อี ได้ถึงแก่กรรมลง[1]

ส่วนตัวอี อี นั้นเมื่ออายุ 29 ปี ได้รับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ มากมาย ในปี ค.ศ. 1568 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็น "ซอจังกวาน" หรือ "เจ้าหน้าที่ฝ่ายเอกสารของกรมพิธีการ" (ฮันกึล: 서장관; ฮันจา: 書狀官) ติดตามขบวนราชทูตโชซอนไปยังจักรวรรดิจีนในสมัยราชวงศ์หมิงอีกด้วย ส่วนเมื่ออายุได้ 34 อี อี ได้มีส่วนในการเขียนบันทึกจดหมายเหตุรายวันของราชสำนักในรัชสมัยพระเจ้ามยองจงแห่งโชซอน โดยเขียนในส่วนของทงโฮมุนดัพ ซึ่งเป็นบันทึก 11 ความเรียงเกี่ยวกับนโยบายทางการเมืองการปกครองที่เขาได้เสนอไว้ว่าการปกครองที่ทรงธรรมนั้นควรเป็นอย่างไร[6] ด้วยเหตุที่รับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ มาอย่างยาวนาน ทำให้อี อี เป็นไว้วางพระทัยของพระราชาเป็นอย่างมาก เขาเป็นหนึ่งในขุนนางคนสำคัญคนหนึ่งในฝ่ายการเมืองของราชสำนัก ต่อมาเมื่ออายุได้ 40 ปี เขาได้ทูลถวายงานเขียนและฎีกามากมายต่อราชสำนัก แต่กลับล้มเหลวเมื่อเกิดความขัดแย้งของการเมืองในราชสำนักขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1576 ความพยายามปฏิรูปการเมืองของเขาจึงหมดความหมายลงและทำให้เขาเดินทางกลับบ้านเกิดไป โดยระหว่างที่พำนักที่บ้านเกิดนั่นเอง เขาได้ใช้เวลาไปกับการสั่งสอนเหล่าสานุศิษย์และได้เขียนตำรับตำราออกมามากมาย[1]

ภายหลังเมื่อกลับมารับราชการอีกครั้งตอนอายุ 45 ปี อี อี ได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีและเจ้ากรมหลายตำแหน่ง ระหว่างนี้เขาก็ได้เขียนงานเขียนมากมายที่บันทึกถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่โหดร้ายรุนแรงในช่วงเวลานั้นด้วยจุดประสงค์ที่จะยับยั้งมันให้เบาบางลงได้บ้าง อย่างไรก็ดีในรัชสมัยของพระเจ้าซอนโจนั้น พระองค์ไม่ค่อยใส่ใจและบอกปัดแนวคิดของอี อี อยู่บ่อยครั้ง ทำให้อี อี ลำบากใจมากขึ้นในการพยายามจะเป็นกลางทางการเมืองในราชสำนักต่อไป เขาจึงได้ทูลลาออกจากราชการในปี ค.ศ. 1538 และปีต่อมาก็ถึงแก่กรรมลง[1]

มีเรื่องเล่ากันว่า ตอนยังมีชีวิตอยู่นั้น อี อี ได้สร้างกระโจมไฟเตือนภัยไว้ที่ริมแม่น้ำอิมจิน (Imjin River) และสั่งให้ลูกหลานของเขาจุดไฟสัญญาณเพื่อเอาไว้เตือนพระราชาหากต้องทรงลี้ภัยไปยังทางเหนือจากกรุงฮันยาง (โซล) เพื่อให้ทรงเตรียมไปหลบในป้อมปราการ ภายหลังกระโจมไฟดังกล่าวได้ถูกยึดครองในช่วงสงครามอิมจิน (การบุกครองเกาหลีของญี่ปุ่น (พ.ศ. 2135–2141))[7]

แหล่งที่มา

WikiPedia: อี อี http://100.nate.com/dicsearch/pentry.html?s=K&i=25... http://100.naver.com/100.nhn?docid=10676 http://100.naver.com/100.nhn?docid=123949 http://100.naver.com/100.nhn?docid=127580 http://100.naver.com/100.nhn?docid=50749 http://100.naver.com/100.nhn?docid=59726 http://100.naver.com/100.nhn?docid=9208 http://100.naver.com/100.nhn?docid=92453 http://homepage.ruhr-uni-bochum.de/sven.k.herbers-... http://people.aks.ac.kr/front/tabCon/ppl/pplView.a...